วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555



วิเคราะห์เวียตนาม เสือซุ่มของอาเซียน
http://www.salutevietnam.com/images/vietnam-map.jpg
(แผนที่จาก http://www.salutevietnam.com)
จากโอกาสที่ Mthai ได้ไปเยือน โฮจิมินห์ (อยู่ทางใต้) และ ดานัง (อยู่ตอนกลาง เป็นเมืองท่องเที่ยวมีชายหาดขาวสวย) ของ เวียตนาม ในระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็ได้เข้าไปศึกษาวัฒนธรรมและการดำเนินชีวิตต่างๆ ที่ได้สอบถามกับทางคนเวียตนามโดยตรง
หลังจากที่ เวียตนามได้แซงไทยไปแล้วในเรื่องของ ผู้นำส่งออกข้าว (หลายคนชี้เหตุผลไปที่น้ำท่วม แต่จริงๆแล้ว ราคาต้นทุนแรงงานเวียตนามต่ำกว่า ทำให้ขายดีกว่าครับ อ้างอิง http://news.mthai.com/general-news/179360.html)
เราเดินอยู่ในโฮจิมินห์ซึ่งเห็นร้านช้อปปิ้ง แบรนด์เนมอยู่หลากหลาย รถมอเตอร์ไซค์ตามท้องถนนค่อนข้างเยอะ ซึ่ง “อาการรถติด” ที่โฮจิมินห์เป็นปัญหา ไม่ได้เกิดจากรถติด แต่เกิดจากการที่รถยนต์ไม่สามารถขับได้เร็วกว่านี้ (ประมาณ 60 กม. ต่อ ชม.) เนื่องจากมอเตอร์ไซด์ขับพร้อมๆกันไปด้วยความเร็วแค่นั้นและเต็มถนนจนบางครั้งไม่สามารถหาจุดแซงได้
และที่เห็นได้ชัดที่สุด สิ่งที่เป็นตัวขับเคลื่อนการจราจรที่นี่คือ “แตร” รถทุกคัน บีบแตรไล่ บีบแตรเพื่อให้คันอื่นระวังก่อนจะแซง จะเลี้ยว หรือจะกลับรถ จนทั้งท้องถนนมีแต่เสียงแตรระงมไปหมด
เวียตนาม vietnam
เวียตนาม มีพาหานะหลักเป็น มอเตอร์ไซด์???
บ้านเมืองของโฮจิมินห์ และดานัง ดูเหมือนกับ ย้อนเวลากรุงเทพและพัทยากลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว บ้านเรือนดูล้าสมัยกว่า มีสิ่งอำนวยความสะดวกน้อยกว่า เช่น ร้านสะดวกซื้อ และซุปเปอร์มาร์เก็ต โดยเฉพาะดานัง เรียกได้ว่า นักท่องเที่ยวหาร้านกิน ร้านซื้อของลำบากหน่อย ต้องศึกษาตำแหน่งที่พักให้ดีก่อนไป (หลายร้านไม่มีเมนูภาษาอังกฤษ และสื่อสารภาษาอังกฤษไม่ได้) และดานังนี่เอง ที่ไม่ค่อยมีไฟแดง ส่วนใหญ่เป็นวงเวียน ที่ต้อง “หาทางแทรกเข้าไปเอาเอง” จนลำบากไปถึงการข้ามถนน เพราะมอเตอร์ไซค์เต็มถนนตลอดเวลา แต่คนที่นี่เขารู้กันว่า “ไม่ยากหรอก” ข้ามไปเลย เดี๋ยวมอเตอร์ไซด์จะหลบเราเอง… เออ จริงแฮะ
มามองที่วัฒนธรรมของเวียตนามกันบ้าง ชนชาตินี้มีความเป็น “คนจีน” อยู่มาก (ละครจักรๆวงศ์ๆบ้านเขาก็คือ หนังจีนแต่งตัวแนวกำลังภายใน) และหลายคนยังมองฝรั่งผิวขาวแบบไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากสงครามในประเทศและการบุกรุกจากช่วงล่าอณานิคมมานาน โดยเฉพาะปัญหากับการเข้ามาของอเมริกา แต่เขามีภาษาพูดของเขาเอง โดยใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษเป็นภาษาเขียน (แทนการออกเสียง และมีวรรณยุกต์ เครื่องหมายต่างๆตามอย่าง ภาษาละติน จากการเป็นเมืองขึ้นฝรั่งเศส)
วัดจีน สถานที่ท่องเที่ยว ดานัง vietnam เวียตนาม
(ศาลเจ้าแบบจีน บนยอดเขาบาน่า ที่เมืองดานัง)
(ภาษาเวียตนาม ยืมหลายคำจากภาษาจีน แต่ใช้อักษรตัวอังกฤษแบบลาติน)

เราสังเกตได้ว่า คนวัยรุ่น อายุไม่เกิน 30 พูดภาษาอังกฤษได้ดีมากทั้งสำเนียงและการใช้ศัพท์ ดีกว่ามาตฐานของคนไทยเสียอีก และเมื่อถามว่า คนเวียตนามส่วนใหญ่พูดอะไรได้บ้าง เราได้รับคำตอบว่า “คนแก่จะพูด เวียตนาม ผสม ภาษาฝรั่งเศษ หรือ จีน แต่คนรุ่นใหม่ๆจะพูด เวียตนาม ผสม อังกฤษ หรือ ฝรั่งเศส)vietnam police cute girlvietnam police cute guy
(ตำรวจในเครื่องแบบเก่า แต่หน้าตาทันสมัย สวย เก๋ หล่อ เท่ จาก http://blogs.Asiantown.net และจาก http://www.flixya.com – vietnamwork แต่ใช่ว่าคนเวียตนามจะหน้าตาแบบนี้ไปเสียหมดนะครับ)
เนื่องจากคนเวียตนามเป็นคอมมิวนิสต์มานาน แม้กระทั่งตำรวจตรวจคนเข้าเมือง หรือ รปภ. ก็มีเครื่องแบบสีเขียวใบตองแบบคอมมิวนิสต์อยู่ การเปิดประเทศได้ไม่นาน ทำให้มีข้อกำหนดหลายอย่าง ในการลงทุนจากต่างชาติเช่น เรื่องเกมส์ออนไลน์ ก็ยังคงมองสิ่งมอมเมาเยาวชน และทำให้มีเพียงไม่กี่เกมส์ที่เข้าไปเปิดตัวในประเทศได้ ซึ่งกรณีแบบเดียวกันเกิดขึ้นกับร้านอาหารแฟรนไชส์ หรือร้านสะดวกซื้อ ที่เข้าเวียตนามไม่ได้ (และทำให้มีร้านโชว์ห่วยอยู่มากมาย)
เวียตนามมีความตั้งใจที่ดีที่ทำให้ เมืองหลวงและเมืองท่องเที่ยว ไม่มีขอทานอยู่เลย โดยได้มีแผนรับผิดชอบในการทำสถานสงเคราะห์และสร้างงานให้กับบรรดาขอทานเหล่านั้น เราทึ่งกับนโยบายของเขานะครับ ที่เรียกว่าทำได้จริงๆ ไม่มีขอทานให้เห็นเลย
อ๋าวใหญ่
(สาวเวียตนามกับชุด อ๋าวใหญ่ กลายเป็นชุดเครื่องแบบสำหรับพนักงานสาว ที่สนามบิน ร้านอาหาร ร้านค้าต่างๆ ภาพจาก http://chinhdangvu3.blogspot.com/2010/04/hanoi.html)
สปริงโรล เวียตนาม
(Spring Rolls หรือ ปอเปี๊ยะสดเวียตนาม มีกุ้ง โหระพา สะระแหน่ ต้นหอม และขนมจีน อาหารจานอื่นๆของเวียตนามต้องมีผักเยอะๆ โดยเฉพาะ โหระพา กับสะระแหน่)
เรื่องอินเตอร์เน็ทและเครือข่ายโทรศัพท์มือถือของเวียตนาม เรียกได้ว่า ดีไม่แพ้ของไทย แม้ทีมงานกำลังเดินทางอยู่ในหลืบเขาก็ยังมีสัญญาณ 3G อยู่ที่สามารถอัพโหลดรูปขึ้นเฟซบุ๊คได้อย่างรวดเร็ว เรื่องอินเตอร์เน็ทก็เท่ไม่แพ้กัน เมื่อตามห้าง ร้านค้า ภัตตาคาร ร้านกาแฟ สนามบิน เปิด Wi-fi ให้ใช้บริการฟรีๆ (ซึ่งผมก็แปลกใจกับ การเปิดใช้ฟรีๆแบบนี้ว่าหากมีการใช้อินเตอร์เพื่อกระทำการก่อการร้าย หรือแฮก จะป้องกันได้หรือไม่ เพราะประเทศไทยช่วงหนึ่ง เราก็เคยเป็นห่วงกับการก่อการร้ายต่างๆผ่านอินเตอร์เน็ทฟรี จนกลายเป็นความรับผิดชอบตามกฎหมายของคนที่เปิด Wi-fi ให้คนอื่นใช้ และก็กลับลำอีกรอบด้วยการที่พยายามให้ ผู้บริการอินเตอร์เน็ทเปิด Wi-fi สาธารณะฟรีๆร่วมกัน)
(ภาพการเติบโตด้านสังคมอินเตอร์เน็ทของเวียตนาม จาก Singapore Management University: https://wiki.smu.edu.sg)
คนเวียตนามยุคเก่า (อายุ 40 ขึ้นไป) เป็นคนที่ไม่ค่อยมีระเบียบ การต่อคิวซื้อของ ขึ้นรถเมล์ จึงเห็นการแย่งชิง แซงคิวกันอย่างหน้าตาย ผมเจอคุณป้าคนหนึ่งแซงคิวที่ซุปเปอร์มารเก็ตโดยแซงคิวทั้งแถว (รอกันอยู่สี่คิว) กันดื้อๆ ด้วยการเดินแทรกแล้วเอาของวางบนเคาน์เตอร์แคชเชียร์ทั้งๆที่ผมเป็นคิวต่อไปที่จะได้ชำระเงิน อึ้งล่ะครับ อย่างไรก็ตาม คนรุ่นใหม่ๆจะรู้มารยาทสังคมและพยายามจะเข้าระเบียบได้ดีกว่า เมื่อสอบถามคนเวียตนามก็ได้รับคำตอบว่า เนื่องจากสังคมคอมมิวนิสต์สมัยก่อนทำให้คนที่ผ่านยุคนั้นมาต้องแก่งแย่งของเพื่อความอยู่รอดจนติดนิสัย จนมองว่าการรอคิวเป็นเรื่องไร้สาระ แซงได้เร็วกว่า…ซะงั้น

เวียตนามยังคงมีเมกะโปรเจ็คท์อีกหลากหลายที่เป็นการลงทุนต่างชาติเช่น สวนสนุก และห้างสรรพสินค้าเพิ่มเติมอีก (แน่นอนล่ะว่า ต้องเป็นธุรกิจที่ไม่สร้างความมัวเมาและไม่ทำให้ลดลัทธิชาตินิยมลงไป ไม่งั้น ไม่ผ่าน!)
fantasy land สวนสนุก vietnam เวียตนาม
(สวนสนุก Fantasy land บนยอดเขา Bana ใหญ่โต ขณะที่ไปมีการปิดปรับปรุงบางส่วน)
โดยสรุปแล้ว
  • * ตอนนี้ เวียตนามอาจจะยังไม่ใช่คู่แข่งที่น่ากลัว เพราะกรอบความคิดชาตินิยมของคนยุคเก่า (อายุ 40 กว่า) ที่ยังมีอิทธิพลต่อสังคมโดยรวมอยู่ แต่อีก 5-10 ปีข้างหน้า เวียตนามน่ากลัวมากๆนะครับ (ขึ้นอยู่กับเขาจะปลดกรอบความคิดของเขาได้ช้าหรือเร็วขนาดไหน)
  • * เทคโนโลยีสื่อสารอย่างอินเตอร์เน็ทและโทรศัพท์มือถือ ดีไม่แพ้ไทย (แต่ร้านเน็ทคาเฟ่ดีๆ หาไม่มีแฮะ)
  • * ศักยภาพเรื่องภาษาที่สอง เช่น ภาษาอังกฤษ โดดเด่นกว่าคนไทย
  • * ระยะปัจจุบันเป็นช่วงที่เปิดประเทศ เปิดโอกาสให้เกิดการลงทุนจากต่างชาติ และทำให้เกิดนักธุรกิจรุ่นใหม่ๆ
  • * ข่าวลือที่ว่า เวียตนาม บล็อค Facebook (เพราะเกรงว่าประชาชนจะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลมากเกินไปจนกระทบความมั่นคง) ทีมงาน MThai ซื้อซิมมือถือเวียตนามแล้วเข้า Facebook ได้ปกติครับ
  • * ณ วันที่เราไปเยือน อัตราแลกเปลี่ยน 1000 ดอง เท่ากับ 1.5 บาท (น้ำอัดลม ราคาประมาณ 13 บาท ไอศกรีมโคน 15 บาท มาม่าคัพ 15 บาท ราคาใกล้เคียงกับบ้านเราครับ)
สรุปอีกที เวียตนาม คือ เสือซุ่มที่โดนวางยานอนหลับ (จากยุคล่าเมืองขึ้น การแทรกแซงการเมือง) และกำลังสร่างยา เมื่อเสือตัวนี้พร้อม…ก็จะก้าวกระโดดอย่างมั่นคงด้วยศักยภาพของคนรุ่นใหม่ที่มีความพร้อมทั้งภาษาและความคิด เทียบกันแล้ว ไทย เป็น เสือขี้โรค (จากปัญหาความขัดแย้งภายใน) ต้องใช้ยาอ่อน ยาแรง อันใดจะเยียวยาให้เสือไทยแข็งแรงโดยเร็วที เพราะอาเซียนทุกประเทศเขาพร้อมกระโจนเข้า AEC กันหมดแล้วนะ

วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555



             ***โลซิน เกาะหินที่มีมูลค่าดังเพชร กลางอ่าวไทย ***




                       กองหินกลางทะเลเวิ้งว้างในอ่าวไทย โผล่พ้นน้ำขึ้นมาไม่เกิน 100 ตารางเมตร สภาพส่วนใหญ่เป็นหินล้วน ๆ ไม่มีต้นไม้ใบหญ้า ห่างจาก ชายฝั่งอำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส ไปทางทิศตะวันออกเป็นระยะทาง 106 กิโลเมตร นี้แหละครับคือเกาะที่สร้างมูลค่าเป็นตัวเงินไม่ได้ให้แก่ประเทศไทย ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีใครรู้จักนอกจากชาวประมงและนักดำน้ำเพราะปะการังที่นี้สวย มากๆๆๆ
เบื้องหลังกลับเป็นตำนานของโครงการมูลค่ามหาศาลหลายแสนล้าน หรืออาจเรียกได้ว่า เกาะโลซินเป็นเกาะที่มีมูลค่าเท่ากับโคตรเพชรเลยก็ได้ เพราะหากไม่มีเกาะโลซิน วันนี้เราก็คงไม่มีสิทธิ์บนพื้นที่สัมปทานก๊าซกลางอ่าวไทย พื้นที่ครอบคลุมมากกว่า 7,000 ตารางกิโลเมตร และมีแหล่งสำรองก๊าซให้ประเทศถึง 5 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต หรือเท่ากับ 50% ของแหล่งก๊าซที่มีอยู่ของไทยทั้งหมด
               ใช่แล้ว..เกาะโลซินมีความเกี่ยวพัน กับโครงการขุดเจาะก๊าซกลางอ่าวไทยที่เรียกว่า พื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซียอย่างแนบแน่นประวัติความเป็นมาและความสำคัญของเกาะโลซิน ต้องเริ่มตั้งแต่ไทย-มาเลเซียโต้เถียงกันถึงเรื่องสิทธิเหนือน่านน้ำ โดยเริ่มตั้งโต๊ะโต้เถียงกันอย่างจริงจังในปี 2515



ไทยและมาเลเซียได้เจรจาเรื่องเส้นเขตแดนในทะเลอาณาเขต ในปี 2515
สามารถทำความตกลงกันได้ ตั้งแต่กึ่งกลาง ปากแม่น้ำโกลกออกไปในทะเล
36 ไมล์ทะเลเท่านั้น เพราะเพราะหากยึดตามข้อตกลงสากลแบ่งพื้นที่กลางทะเล
ด้วยวิธีลากเส้นตั้งฉากจากแนวโค้งของแผ่นดินแต่ละฝ่ายขึ้นไปที่
ลักษณะแผ่นดินของมาเลเซียที่งุ้มเข้ามาในอ่าวไทย ขณะที่แผ่นดินของไทยกลับเทลาดออกไป
หากลากเส้นตามหลักดังกล่าว เส้นนั้นจะทำมุมออกไปในอ่าวไทยแนวตะวันออกเฉียงเหนือ
ทำให้ไทยเสียเปรียบในการเจรจาอย่างมาก การเจรจาจึงหยุดไปหลายปี

มีการเจรจากันต่ออีกครั้งเมื่อปี 2521 เพื่อจะต่อเส้นเขตแดนในเขตไหล่ทวีป
ออกไปให้บรรจบกับเส้น claim ของเวียดนามที่กลางอ่าวไทยตอนล่าง
การเจรจาครั้งนี้บรรยากาศไม่ราบรื่นเหมือนการเจรจาครั้งแรก
เพราะประเทศไทยได้นึกถึง โลซิน หินโสโครกร้างกลางทะเล
กระโจมไฟกลายเป็นหลักฐานที่สำคัญ ในการอ้างสิทธิ์ของไทย ต่อกองหินร้างนี้
แต่กองหินนั้นไม่ใช่ เกาะ ประเทศไทยจึงไม่อาจอ้างสิทธิ์พื้นที่ทางทะเลได้

แต่โชคเป็นของฝ่ายไทยอีกครั้ง ที่เรายังคงใช้กฎหมายทะเลดั้งเดิม 4 ฉบับ
ตามอนุสัญญากรุงเจนีวา ค.ศ.1958 ซึ่งประเทศไทยลงนามและให้สัตยาบันเป็นภาคีอนุสัญญาฯ
ซึ่งกำหนดไว้เพียงว่า แม้เป็นหินกองหินที่โผล่พ้นน้ำ ก็สามารถนิยามว่าเป็นเกาะได้
เมื่อได้ชื่อว่าเป็นเกาะ ก็ย่อมมีไหล่ทวีปเป็นของตัวเอง มีผลไปถึงเขตเศรษฐกิจจำเพาะ
การกำหนดอาณาเขต ผลประโยชน์และอำนาจอธิปไตยทางทะเล

มาเลเซียไม่ต้องการเจรจาโดยใช้เส้นเขตแนวนี้ ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้
เพราะการอ้างอธิปไตยเหนือเกาะโลซิน ทำให้เส้นเขตแนว เกิดเป็นสองแนว
แนวที่ลากเป็นเส้นตั้งฉากจากฝั่งออกไปในทะเล ประเทศไทย เสียเปรียบ
แนวที่ลากโดยยึดถือ เส้นแนวเกาะโลซิน ประเทศมาเลเซีย เสียเปรียบ
เกิดเป็นพื้นทีทับซ้อนทางทะเล เป็นรูปสามเหลี่ยมที่มีอาณาเขตถึง 7250 ตารางกิโลเมตร

การเจรจาระดับเจ้าหน้าที่ดูเหมือนจะมาถึงทางตัน บรรยากาศทางการเมืองก็ตึงเครียดขึ้น
จากปัญหาเรือประมงไทยเข้าไปจับปลาในบริเวณพื้นที่ทับซ้อนนี้แล้ว
ถูกเจ้าหน้าที่มาเลเซียจับไปดำเนินคดี ขณะนั้นนายกรัฐมนตรีของไทยคือ
พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ และนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย คือ ดาโต๊ะ ฮูสเซน ออน
ทั้งสองท่านมีความสนิทสนมกันเป็นส่วนตัว จึงได้ตกลงใจที่จะคลี่คลายปัญหานี้
โดยกำหนดให้มีการ เจรจา ที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อปี 2522

ผลของการเจรจา คือ ความตกลงจัดตั้งพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย
ในพื้นที่ทับซ้อนดังกล่าว ความตกลงนี้เรียกกัน ว่า MOU เชียงใหม่
ซึ่งปัจจุบันเราเรียกว่า JDA ซึ่งต้องแบ่งปันผลประโยชน์คนละครึ่งหนึ่งกับมาเลเซีย นั่นเอง
ภายหลังมีการลงนามบันทึกข้อตกลงมีการสำรวจ พบว่ามีแหล่งก๊าซธรรมชาติจำนวนมหาศาล
ในพื้นที่ ถึง 5 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต หรือเท่ากับ 50% ของแหล่งก๊าซที่มีอยู่ของไทยทั้งหมด
โดย 75 เปอร์เซ็นต์อยู่ในพื้นที่ด้านล่างสามเหลี่ยม ในซีกพื้นที่ของมาเลเซีย




หากไม่มี "โลซิน" ไทยย่อมไม่อาจอ้างสิทธิ์ในพื้นที่ทับซ้อน ขนาด 7250 ตารางกิโลเมตร

หากไม่มี "โลซิน" ไทยก็จะไม่มีสิทธิ์ในแหล่งก๊าซมูลค่ามหาศาลกลางอ่าวไทย

หากไม่มี "โลซิน" เราก็คงไม่มีเส้นเขตแดนที่มีอธิปไตยทางทะเลด้านใต้อ่าวไทยลงไปถึงตรงจุดนี้

และหากไม่มี "โลซิน" เราก็คงไม่มีแหล่งดำน้ำที่สวยงามกลางอ่าวไทย เช่นวันนี้..

วันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2555



ความลับการเพิ่มความเร็วอินเตอร์เน็ต

เพิ่มพลังท่องเน็ตแรงดีไม่มีกระตุกกับสุดยอดเคล็ดลับห้ามพลาด!

สวัสดีเพื่อนๆชาวtechxciteทุกท่าน วันนี้ทางทีมงานtechxciteมีเทคนิควิธีดีๆมาฝากเพื่อนๆชาวtechxciteกัน เคยรู้สึกเบื่อกันบ้างไหม? ถ้าการท่องเว็บไซต์ของเรามันช้าไม่ทันใจ วันนี้ทางทีมงาน techxcite เลยมีวิธีดีๆมาแนะนำให้เพื่อนๆได้มาลองกัน แต่ขอบอกก่อนว่าวิธีนี้ไม่ได้ ช่วยเพิ่มความเร็วในการดาวน์โหลดไฟล์ แต่ช่วยทำให้บราวเซอร์ของเราเปิดหน้าเว็บได้เร็วขึ้นเท่านั้น!! โดยเราต้องเข้าไปปรับค่าใน Registry Editor

เริ่มจาก start > run













พิมพ์ regedit จากนั้นกด OK



































ต่อไปก็ปรับค่า DnsPriority, HostsPriority, LocalPriority, NetbtPriority ให้เป็น 1 เหมือนกับ class

















เท่านี้เราก็พร้อมที่จะท่องอินเตอร์เน็ตกันได้เร็วและสนุกขึ้นแล้ว แล้วพบกันใหม่ในทิปหน้าค่ะ ^^




ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

http://www.techxcite.com/topic/6069

วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555

พรุ่งนี้ตื่นเช้ามาเช็ค Hotmail.com แล้วอย่าตกใจน่ะครับเพราะว่าทาง Microsoft ได้เปลี่ยนหน้าตาของ Hotmail.com เป็นแบบเดียวกับ Outlook.com ซึ่งเป็นบริการอีเมล์ใหม่ล่าสุดเรียบร้อยแล้ว และผู้ใช้งานสามารถเปลี่ยน User จาก Hotmail เป็น Outlook ได้โดยอัติโนมัติ แต่ยังไม่แน่ชัดว่า จะปิดให้บริการ Hotmail.com หรือไม่ หลังจากบริการมา 16 ปีเต็ม นอกจากนี้ ยังเปลี่ยนดีไซน์ส่วนติดต่อผู้ใช้งานเป็นแบบ Metro UI

วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2555



10 อันดับผลไม้กินแล้วไม่อ้วน


ผลไม้ 10 ชนิดต่อไปนี้ จัดเป็นผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินและเกลือแร่ และ กินได้บ่อยๆ แบบไม่ต้องกลัวอ้วน ทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์และเพิ่มภูมิคุ้มกันอีกด้วย ผลไม้ทั้ง 10 ชนิดนี้มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตเฉลี่ย 1.9 – 10 กรัมต่อน้ำหนัก 100 กรัม โดยอะโวกาโดมีคาร์โบไฮเดรตต่ำสุด แอปเปิลมีคาร์โบไฮเดรตสูงสุด



1. กีวี - มีสารแอกทินิดีน ที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันทำให้หัวใจแข็งแรง





2. มะเขือเทศ - ช่วยลดความเสียงจากมะเร็งและโรคหัวใจ






3. มะละกอ – ช่วยย่อยอาหารและโปรตีน






4. อะโวคๅโด – ช่วยยับยั้งสารก่อมะเร็งชนิดต่างๆ ได้ถึง 30 ชนิด






5. สับปะรด – ช่วยต้านเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย





6. ผลไม้จำพวกเบอร์รี่ – เช่น สตอเบอร์รี่ แบลคเบอร์รี่ ผลไม้กลุ่มนี้ดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต





7. แครนเบอร์รี่ – ช่วยป้องกันนิ่วในไต ต้านเชื้อไวรัส





8. ผลไม้ตระกูลส้ม – ช่วยลดคอเลสเตอรอล และไขมันในเส้นเลือด





9. ผลไม้กลุ่มแตง – มีสรรพคุณสูงสุดในการล้างพิษให้กับร่างกาย





10. แอปเปิ้ล – ช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร






การกินผลไม้ กินแล้วดี มีประโยชน์มากมาย แต่บางครั้งก็ต้องเลือกกิน และกินในปริมาณที่พอดี เพราะมีผลไม้บางชนิดที่มีน้ำตาลสูง ซึ่งอาจจะทำให้อ้วนได้ผลไม้ที่กิน แล้วอ้วนสุด ๆ คือ







1 กล้วยไข่



2 คือ กล้วยน้ำว้า



3 คือ ขนุน



4 คือ กล้วยหอม



5 คือ มะม่วงน้ำดอกไม้สุก



6 คือ ลำไยกะโหลกเขียว



7 คือ ลองกอง






8 คือ เงาะ




9 คือ ลางสาด





อันดับสุดท้ายน้ำตาลน้อยสุด คือ ละมุด





แต่ ทุเรียน ก็เป็นผลไม้ ที่ขึ้นชื่อว่ามีน้ำตาลสูงมาก ๆ ใครที่กินรับรองอ้วนแน่ ส่วนผลไม้ที่กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน ได้แก่ แอปเปิ้ล ชมพู่ ฝรั่ง มะม่วงดิบ มะละกอ และ แตงโม

"Sapper" หน่วยกล้าตายที่ถูกลืม !! ..

รู้หรือไม่ ...

Sapper แปลตามศัพท์ภาษาอังกฤษว่า ทหารช่างที่มีความชำนาญในการทำลายป้อมค่ายและงานเกี่ยวกับการสร้างป้อมค่าย รวมไปถึงผู้ที่มีความชำนาญในการวางและเก็บกู้ทุ่นระเบิด



แซปเปอร์ที่ดังที่สุด เป็นคำที่ สหรัฐใช้เรียก หน่วยกล้าตายของเวียดนามเหนือ ในระหว่างสงครามเวียดนาม ที่สร้างความหวาดหวั่นให้แก่กองกำลังสหรัฐและพันธมิตรในสงครามเวียดนาม เรียกว่า ขนพองสยองเกล้าเพียงแค่ได้ยินหรือนึกถึงความบ้าบิ่นของหน่วยนี้ ก็ว่าได้

เวียดนามเหนือจัดตั้งหน่วยหัวหอกแซปเปอร์ขึ้นมาเพื่อเจาะทะลุทะลวงเปิดทาง การโจมตีและลดการสูญเสียของแก่กำลังหลัก

กุญแจสำคัญของหน่วยแซปเปอร์ คือ วัตถุระเบิดและการใช้วัตถุงาน หน่วยแซปเปอร์จึงได้รับการฝึกเป็นอย่างดีเกี่ยวกับวัตถุระเบิด ไม่ว่าจะเป็น ของฝ่ายตนเองและข้าศึก วิธีการวางระเบิดต่อเป้าหมายต่างๆ การปลดและนำกลับมาใช้ของทุ่นระเบิดของข้าศึก



การฝึกของแซปเปอร์ไม่มีความแตกต่างจากหน่วยทหารทั่วไป แต่ การดำเนินกลยุทธ การปฏิบัติการ และวินัยของหน่วยแซปเปอร์ต่างหาก ที่ทำให้เกิดความแตกต่างจากหน่วยทั่วไป

กองทัพน้อยแซปเปอร์ เป็นหน่วยทหารช่างขนาดเล็กที่เคลื่อนที่อย่างเงียบกริบ ภารกิจหลัก คือ การทำลายกำลังของสหรัฐและพันธมิตรด้วยการปฏิบัติการพิเศษ ซึ่งมักประกอบด้วย การทำลายเป้าหมาย การสังหารผู้บังคับบัญชาข้าศึก การก่อวินาศกรรม การลาดตะเวน การรบประชิด การซุ่มโจมตีและการเป็นหัวหอกในการเข้าตีเจาะ วิธีการแทรกซึมนี้ ต้องใช้ความพยายามอย่างสูงยิ่ง ซึ่งเป็นสิ่งสุดยอดอย่างหนึ่งที่มีแต่เฉพาะหน่วยแซปเปอร์



การแต่งกายของแซปเปอร์ มักจะมีแต่เพียงผ้าเตี่ยวหรือกางเกงขาสั้น และพรางตัวด้วยโคลน อุปกรณ์ประจำตัวอื่น ๆ จะประกอบด้วยปืนอัตโนมัติ คีมตัดลวด ดาบปลายปืน เหล็กแหลมขุดค้นทุ่นระเบิด ท่อนไม้ไผ่สำหรับยกลวดหนามและลวดสั้น ๆ จำนวนหนึ่งเพื่อปลดชนวนวัตถุระเบิด และในระหว่างการแทรกซึมอาจจะมีการปฏิบัติการลวงด้านอื่นเพื่อย้ายความสนใจของข้าศึกให้ออกจากการตรวจการต่อการแทรกซึมของแซปเปอร์

แต่ถ้าหน่วยนำของแซปเปอร์ไม่สามารถไปจัดการต่อข้าศึกได้ แซปเปอร์อาจจะถอนกำลัง หรือไม่ก็จะใช้กำลังที่เหลือบุกไปข้างหน้าโดยไม่แยแสต่อความสูญเสีย ความปลอดภัยหรือเส้นทางหนี จนกว่าภารกิจจะสำเร็จหรือมีคำสั่งให้ถอนตัว

การปฏิบัติการของแซปเปอร์ที่มีชื่อเสียงที่สุด คือ

- การปฏิบัติการโจมตีต่อสถานทูตสหรัฐในกรุงไซง่อน เวียดนามใต้



ในการการปฏิบัติการรุกวันตรุษญวนของเวียดนามเหนือ แซปเปอร์จำนวน 19 คน จากกองพัน แซปเปอร์ ซี 10 ที่แทรกซึมเข้ามาอยู่ในไซ่ง่อนล่วงหน้า แซปเปอร์หน่วยนี้ได้รับคำสั่งเร่งด่วนให้ยึดสถานทูตสหรัฐ โดยให้ยึดไว้ให้ได้ 48 ชั่วโมงเพื่อรอกำลังส่วนใหญ่ที่รุกมาจากเวียดนามเหนือเดินทางมาสมทบ

วันที่ 31 มกราคม 2511 เวลา 02.45 น. รถบรรทุกแซปเปอร์ 19 คน พร้อมอาวุธครบมือ แต่งกายชุดสีดำ ผูกแขนด้วยผ้าสีแดง มาถึงหน้าสถานทูตสหรัฐ แล้วเปิดฉากการยิงด้วยปืนอาก้า และจรวดประทับบ่า ทหารสารวัตร 2 นายของสหรัฐทำการยิงตอบโต้และปิดประตู แต่ไม่สามารถหยุดยั้งการโจมตีได้ แซปเปอร์ระเบิดกำแพงของสถานทูตเป็นช่องขนาด 1 เมตรด้วยจรวดต่อสู้รถถัง จากนั้น 2 คนแรกของแซปเปอร์ที่คาดว่าเป็นหัวหน้าชื่อ เบ ทูเย็น และ อุท โน มุดเข้าไปในรูนั้นและยิงต่อสู้กับทหารสหรัฐ 2 นาย แต่ทั้ง 4 คนเสียชีวิตในการต่อสู้ระยะประชิดนั้น แซปเปอร์ที่เหลือแม้ว่าจะสูญเสียหัวหน้าหน่วยยังคงบุกต่อเข้าไปยังอาคารหลักของสถานทูต แต่ทหารสหรัฐสามารถตั้งหลักได้ประกอบกำลังเสริม ยิงต่อสู้และทำลายการโจมตีของแซปเปอร์ได้ในช่วงสายของวันเดียวกัน

ผลการปะทะ แซปเปอร์เสียชีวิต 17 คน ถูกจับเป็นเชลย 2 คน ทหารสหรัฐเสียชีวิต 5 นาย เวียดนามใต้เสียชีวิต 4 คน

- ยุทธการภูผาที

ในขณะที่การสู้รบในเวียดนามและการโหมทิ้งระเบิดโดยกองทัพอากาศสหรัฐต่อเป้าหมายทางทหารในเวียดนามเหนือ เวียดนามใต้และลาวกำลังดำเนินไปอย่างหนักหน่วงและรุนแรง

ภูผาที หรือ LS-85 มีความสูงกว่า 5,000 ฟุต สหรัฐได้เลือกเอายอดเขาลูกนี้เป็นที่ตั้งสถานีเรดาร์ที่ทันสมัยที่สุด ติดตั้งอุปกรณ์นำร่องในการทิ้งระเบิดของเครื่องบินทิ้งระเบิดสหรัฐ (Radar Bombing Control System) ชี้เป้าให้กับเครื่องบินทิ้งระเบิดโดยนักบินไม่จำเป็นต้องมองเห็นเป้าด้วยสายตา และระบุเป้าหมายได้ในทุกสภาพอากาศ

ภูผาที ถือเป็นหัวใจของการปฏิบัติการทางอากาศในเวียดนามและลาว จึงถูกวางกำลังอารักขาไว้อย่างเข้มแข็งโดยทหารสหรัฐ ทหารไทย และม้ง

ด้วยเหตุนี้ทางเวียดนามเหนือได้มองเห็นอันตรายจากการติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าวบนภูผาทีและได้วางแผนเพื่อทำลายฐานเรด้าร์บนภูผาที

วันที่ 11 มีนาคม 2511 หน่วยแซปเปอร์ของเวียดนามเหนือ ประมาณ 30 คน บุกขึ้นไปสังหารเจ้าหน้าที่เทคนิคของกองทัพอากาศสหรัฐเสียชีวิตประมาณ 20 นาย

ถึงแม้จะสามารถต้านการบุกและกวาดต้อนแซปเปอร์ลงเขาไปได้ แต่ก็พบเพียงรอยเลือดของแซปเปอร์เป็นหย่อมๆ แซปเปอร์ไม่ทิ้งผู้บาดเจ็บ หรือล้มตายไว้ที่นั่นเลย นับเป็นวินัยที่เคร่งครัดอย่างยิ่งยวด



แต่สิ่งที่น่าแปลกใจระคนสงสัยอย่างที่สุด คือ แซปเปอร์เหล่านั้น ปีนป่ายขึ้นไปได้อย่างไร เพราะภูผาที มีลักษณะเป็นหน้าผาสูงชัน ยากที่จะขึ้นสู่ยอดเขาได้โดยง่าย

- การปฏิบัติการแทรกซึมสนามบินสหรัฐ ที่ จังหวัดอุบลราชธานี

สนามบินดังกล่าวใช้เป็นฐานบินในการขึ้นลงของเครื่องบินทิ้งระเบิดและเครื่องบินรบของสหรัฐที่โจมตีเวียดนามเหนือ ในช่วงสงครามเวียดนาม

แซปเปอร์พยายามเข้าแทรกซึมเข้าไป จำนวน 3 ครั้ง เมื่อ 28 กรกฎาคม 2512 , 12 มกราคม 2513 และ 4 มิถุนายน 2515 โดยหน่วยแซปเปอร์ดังกล่าว เป็นหน่วยขนาดเล็กที่ปฏิบัติการอิสระและคาดว่าเป็นคนเวียดนามเหนือที่อพยพมาอยู่ในไทยที่เดินทางไปฝึกที่เวียดนามเหนือแล้วแทรกซึมกลับผ่านเข้าไทยมาทางลาว

ผลการปฏิบัติภารกิจ แซปเปอร์ล้มเหลว และถูกสังหารจำนวน 4 คน และถูกยึดยุทโธปกรณ์ได้จำนวนหนึ่ง ส่วนฝ่ายสหรัฐสูญเสียสุนัขสงคราม 1 ตัว

ขอบคุณ atcloud.com และ pantip.com

วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2555


ประกาศเตือนภัย
"พายุโซนร้อน “วีเซนเต” (VICENTE)" 

ฉบับที่ 5 ลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2555
     เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (23 ก.ค.55) พายุโซนร้อน “วีเซนเต” (VICENTE) มีศูนย์กลางอยู่ห่างประมาณ 420 กิโลเมตร ทางทิศตะวันออกของเกาะไหหลำ ประเทศจีน หรือที่ละติจูด 20.2 องศาเหนือ ลองจิจูด 114.8 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 95 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกค่อนทางเหนือเล็กน้อย ด้วยความเร็วประมาณ 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่า พายุนี้จะเคลื่อนตัวขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนบน ในวันที่ 25 กรกฎาคม 2555 ซึ่งจะส่งผลทำให้ในช่วงวันที่ 23-27 กรกฎาคม 2555 บริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย จะมีฝนตกหนาแน่นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง
สำหรับในช่วงวันที่ 24-27 กรกฎาคม 2555 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย มีกำลังแรงขึ้น ทำให้ด้านตะวันตกของประเทศและภาคใต้ มีฝนเพิ่มมากขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ขอให้ชาวเรือเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือในระยะนี้ไว้ด้วย
อนึ่ง กรมอุตุนิยมวิทยาจะออกประกาศฉบับต่อไปในเวลา 16.30 น