(แผนที่จาก http://www.salutevietnam.com)
จากโอกาสที่ Mthai ได้ไปเยือน โฮจิมินห์ (อยู่ทางใต้) และ ดานัง (อยู่ตอนกลาง เป็นเมืองท่องเที่ยวมีชายหาดขาวสวย) ของ เวียตนาม ในระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็ได้เข้าไปศึกษาวัฒนธรรมและการดำเนินชีวิตต่างๆ ที่ได้สอบถามกับทางคนเวียตนามโดยตรง
หลังจากที่ เวียตนามได้แซงไทยไปแล้วในเรื่องของ ผู้นำส่งออกข้าว (หลายคนชี้เหตุผลไปที่น้ำท่วม แต่จริงๆแล้ว ราคาต้นทุนแรงงานเวียตนามต่ำกว่า ทำให้ขายดีกว่าครับ อ้างอิง http://news.mthai.com/general-news/179360.html)
เราเดินอยู่ในโฮจิมินห์ซึ่งเห็นร้านช้อปปิ้ง แบรนด์เนมอยู่หลากหลาย รถมอเตอร์ไซค์ตามท้องถนนค่อนข้างเยอะ ซึ่ง “อาการรถติด” ที่โฮจิมินห์เป็นปัญหา ไม่ได้เกิดจากรถติด แต่เกิดจากการที่รถยนต์ไม่สามารถขับได้เร็วกว่านี้ (ประมาณ 60 กม. ต่อ ชม.) เนื่องจากมอเตอร์ไซด์ขับพร้อมๆกันไปด้วยความเร็วแค่นั้นและเต็มถนนจนบางครั้งไม่สามารถหาจุดแซงได้
และที่เห็นได้ชัดที่สุด สิ่งที่เป็นตัวขับเคลื่อนการจราจรที่นี่คือ “แตร” รถทุกคัน บีบแตรไล่ บีบแตรเพื่อให้คันอื่นระวังก่อนจะแซง จะเลี้ยว หรือจะกลับรถ จนทั้งท้องถนนมีแต่เสียงแตรระงมไปหมด
เวียตนาม มีพาหานะหลักเป็น มอเตอร์ไซด์???
บ้านเมืองของโฮจิมินห์ และดานัง ดูเหมือนกับ ย้อนเวลากรุงเทพและพัทยากลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว บ้านเรือนดูล้าสมัยกว่า มีสิ่งอำนวยความสะดวกน้อยกว่า เช่น ร้านสะดวกซื้อ และซุปเปอร์มาร์เก็ต โดยเฉพาะดานัง เรียกได้ว่า นักท่องเที่ยวหาร้านกิน ร้านซื้อของลำบากหน่อย ต้องศึกษาตำแหน่งที่พักให้ดีก่อนไป (หลายร้านไม่มีเมนูภาษาอังกฤษ และสื่อสารภาษาอังกฤษไม่ได้) และดานังนี่เอง ที่ไม่ค่อยมีไฟแดง ส่วนใหญ่เป็นวงเวียน ที่ต้อง “หาทางแทรกเข้าไปเอาเอง” จนลำบากไปถึงการข้ามถนน เพราะมอเตอร์ไซค์เต็มถนนตลอดเวลา แต่คนที่นี่เขารู้กันว่า “ไม่ยากหรอก” ข้ามไปเลย เดี๋ยวมอเตอร์ไซด์จะหลบเราเอง… เออ จริงแฮะ
มามองที่วัฒนธรรมของเวียตนามกันบ้าง ชนชาตินี้มีความเป็น “คนจีน” อยู่มาก (ละครจักรๆวงศ์ๆบ้านเขาก็คือ หนังจีนแต่งตัวแนวกำลังภายใน) และหลายคนยังมองฝรั่งผิวขาวแบบไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากสงครามในประเทศและการบุกรุกจากช่วงล่าอณานิคมมานาน โดยเฉพาะปัญหากับการเข้ามาของอเมริกา แต่เขามีภาษาพูดของเขาเอง โดยใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษเป็นภาษาเขียน (แทนการออกเสียง และมีวรรณยุกต์ เครื่องหมายต่างๆตามอย่าง ภาษาละติน จากการเป็นเมืองขึ้นฝรั่งเศส)
(ศาลเจ้าแบบจีน บนยอดเขาบาน่า ที่เมืองดานัง)
(ภาษาเวียตนาม ยืมหลายคำจากภาษาจีน แต่ใช้อักษรตัวอังกฤษแบบลาติน)
เราสังเกตได้ว่า คนวัยรุ่น อายุไม่เกิน 30 พูดภาษาอังกฤษได้ดีมากทั้งสำเนียงและการใช้ศัพท์ ดีกว่ามาตฐานของคนไทยเสียอีก และเมื่อถามว่า คนเวียตนามส่วนใหญ่พูดอะไรได้บ้าง เราได้รับคำตอบว่า “คนแก่จะพูด เวียตนาม ผสม ภาษาฝรั่งเศษ หรือ จีน แต่คนรุ่นใหม่ๆจะพูด เวียตนาม ผสม อังกฤษ หรือ ฝรั่งเศส)
(ตำรวจในเครื่องแบบเก่า แต่หน้าตาทันสมัย สวย เก๋ หล่อ เท่ จาก http://blogs.Asiantown.net และจาก http://www.flixya.com – vietnamwork แต่ใช่ว่าคนเวียตนามจะหน้าตาแบบนี้ไปเสียหมดนะครับ)
เนื่องจากคนเวียตนามเป็นคอมมิวนิสต์มานาน แม้กระทั่งตำรวจตรวจคนเข้าเมือง หรือ รปภ. ก็มีเครื่องแบบสีเขียวใบตองแบบคอมมิวนิสต์อยู่ การเปิดประเทศได้ไม่นาน ทำให้มีข้อกำหนดหลายอย่าง ในการลงทุนจากต่างชาติเช่น เรื่องเกมส์ออนไลน์ ก็ยังคงมองสิ่งมอมเมาเยาวชน และทำให้มีเพียงไม่กี่เกมส์ที่เข้าไปเปิดตัวในประเทศได้ ซึ่งกรณีแบบเดียวกันเกิดขึ้นกับร้านอาหารแฟรนไชส์ หรือร้านสะดวกซื้อ ที่เข้าเวียตนามไม่ได้ (และทำให้มีร้านโชว์ห่วยอยู่มากมาย)
เวียตนามมีความตั้งใจที่ดีที่ทำให้ เมืองหลวงและเมืองท่องเที่ยว ไม่มีขอทานอยู่เลย โดยได้มีแผนรับผิดชอบในการทำสถานสงเคราะห์และสร้างงานให้กับบรรดาขอทานเหล่านั้น เราทึ่งกับนโยบายของเขานะครับ ที่เรียกว่าทำได้จริงๆ ไม่มีขอทานให้เห็นเลย
(สาวเวียตนามกับชุด อ๋าวใหญ่ กลายเป็นชุดเครื่องแบบสำหรับพนักงานสาว ที่สนามบิน ร้านอาหาร ร้านค้าต่างๆ ภาพจาก http://chinhdangvu3.blogspot.com/2010/04/hanoi.html)
(Spring Rolls หรือ ปอเปี๊ยะสดเวียตนาม มีกุ้ง โหระพา สะระแหน่ ต้นหอม และขนมจีน อาหารจานอื่นๆของเวียตนามต้องมีผักเยอะๆ โดยเฉพาะ โหระพา กับสะระแหน่)
เรื่องอินเตอร์เน็ทและเครือข่ายโทรศัพท์มือถือของเวียตนาม เรียกได้ว่า ดีไม่แพ้ของไทย แม้ทีมงานกำลังเดินทางอยู่ในหลืบเขาก็ยังมีสัญญาณ 3G อยู่ที่สามารถอัพโหลดรูปขึ้นเฟซบุ๊คได้อย่างรวดเร็ว เรื่องอินเตอร์เน็ทก็เท่ไม่แพ้กัน เมื่อตามห้าง ร้านค้า ภัตตาคาร ร้านกาแฟ สนามบิน เปิด Wi-fi ให้ใช้บริการฟรีๆ (ซึ่งผมก็แปลกใจกับ การเปิดใช้ฟรีๆแบบนี้ว่าหากมีการใช้อินเตอร์เพื่อกระทำการก่อการร้าย หรือแฮก จะป้องกันได้หรือไม่ เพราะประเทศไทยช่วงหนึ่ง เราก็เคยเป็นห่วงกับการก่อการร้ายต่างๆผ่านอินเตอร์เน็ทฟรี จนกลายเป็นความรับผิดชอบตามกฎหมายของคนที่เปิด Wi-fi ให้คนอื่นใช้ และก็กลับลำอีกรอบด้วยการที่พยายามให้ ผู้บริการอินเตอร์เน็ทเปิด Wi-fi สาธารณะฟรีๆร่วมกัน)
(ภาพการเติบโตด้านสังคมอินเตอร์เน็ทของเวียตนาม จาก Singapore Management University: https://wiki.smu.edu.sg)
คนเวียตนามยุคเก่า (อายุ 40 ขึ้นไป) เป็นคนที่ไม่ค่อยมีระเบียบ การต่อคิวซื้อของ ขึ้นรถเมล์ จึงเห็นการแย่งชิง แซงคิวกันอย่างหน้าตาย ผมเจอคุณป้าคนหนึ่งแซงคิวที่ซุปเปอร์มารเก็ตโดยแซงคิวทั้งแถว (รอกันอยู่สี่คิว) กันดื้อๆ ด้วยการเดินแทรกแล้วเอาของวางบนเคาน์เตอร์แคชเชียร์ทั้งๆที่ผมเป็นคิวต่อไปที่จะได้ชำระเงิน อึ้งล่ะครับ อย่างไรก็ตาม คนรุ่นใหม่ๆจะรู้มารยาทสังคมและพยายามจะเข้าระเบียบได้ดีกว่า เมื่อสอบถามคนเวียตนามก็ได้รับคำตอบว่า เนื่องจากสังคมคอมมิวนิสต์สมัยก่อนทำให้คนที่ผ่านยุคนั้นมาต้องแก่งแย่งของเพื่อความอยู่รอดจนติดนิสัย จนมองว่าการรอคิวเป็นเรื่องไร้สาระ แซงได้เร็วกว่า…ซะงั้น
เวียตนามยังคงมีเมกะโปรเจ็คท์อีกหลากหลายที่เป็นการลงทุนต่างชาติเช่น สวนสนุก และห้างสรรพสินค้าเพิ่มเติมอีก (แน่นอนล่ะว่า ต้องเป็นธุรกิจที่ไม่สร้างความมัวเมาและไม่ทำให้ลดลัทธิชาตินิยมลงไป ไม่งั้น ไม่ผ่าน!)
(สวนสนุก Fantasy land บนยอดเขา Bana ใหญ่โต ขณะที่ไปมีการปิดปรับปรุงบางส่วน)
โดยสรุปแล้ว
- * ตอนนี้ เวียตนามอาจจะยังไม่ใช่คู่แข่งที่น่ากลัว เพราะกรอบความคิดชาตินิยมของคนยุคเก่า (อายุ 40 กว่า) ที่ยังมีอิทธิพลต่อสังคมโดยรวมอยู่ แต่อีก 5-10 ปีข้างหน้า เวียตนามน่ากลัวมากๆนะครับ (ขึ้นอยู่กับเขาจะปลดกรอบความคิดของเขาได้ช้าหรือเร็วขนาดไหน)
- * เทคโนโลยีสื่อสารอย่างอินเตอร์เน็ทและโทรศัพท์มือถือ ดีไม่แพ้ไทย (แต่ร้านเน็ทคาเฟ่ดีๆ หาไม่มีแฮะ)
- * ศักยภาพเรื่องภาษาที่สอง เช่น ภาษาอังกฤษ โดดเด่นกว่าคนไทย
- * ระยะปัจจุบันเป็นช่วงที่เปิดประเทศ เปิดโอกาสให้เกิดการลงทุนจากต่างชาติ และทำให้เกิดนักธุรกิจรุ่นใหม่ๆ
- * ข่าวลือที่ว่า เวียตนาม บล็อค Facebook (เพราะเกรงว่าประชาชนจะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลมากเกินไปจนกระทบความมั่นคง) ทีมงาน MThai ซื้อซิมมือถือเวียตนามแล้วเข้า Facebook ได้ปกติครับ
- * ณ วันที่เราไปเยือน อัตราแลกเปลี่ยน 1000 ดอง เท่ากับ 1.5 บาท (น้ำอัดลม ราคาประมาณ 13 บาท ไอศกรีมโคน 15 บาท มาม่าคัพ 15 บาท ราคาใกล้เคียงกับบ้านเราครับ)
สรุปอีกที เวียตนาม คือ เสือซุ่มที่โดนวางยานอนหลับ (จากยุคล่าเมืองขึ้น การแทรกแซงการเมือง) และกำลังสร่างยา เมื่อเสือตัวนี้พร้อม…ก็จะก้าวกระโดดอย่างมั่นคงด้วยศักยภาพของคนรุ่นใหม่ที่มีความพร้อมทั้งภาษาและความคิด เทียบกันแล้ว ไทย เป็น เสือขี้โรค (จากปัญหาความขัดแย้งภายใน) ต้องใช้ยาอ่อน ยาแรง อันใดจะเยียวยาให้เสือไทยแข็งแรงโดยเร็วที เพราะอาเซียนทุกประเทศเขาพร้อมกระโจนเข้า AEC กันหมดแล้วนะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น